fbpx
//เปิดร้านออนไลน์ E-Commerce หรือ Social Commerce แบบไหนดีที่สุด

เปิดร้านออนไลน์ E-Commerce หรือ Social Commerce แบบไหนดีที่สุด

หลังจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่เป็นเหมือนตัวเร่งปฏิกิริยาพฤติกรรมผู้บริโภคให้เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เทรนด์ช้อปปิ้งออนไลน์เติบโตอย่างมาก ธุรกิจหลายแห่งจึงต้องปรับตัวไปเปิดร้านค้าออนไลน์กันมากขึ้น

ร้านค้าออนไลน์มีทั้งการขายของบนเว็บไซต์ หรือที่เราเรียกกันว่า E-Commerce เป็นการขายสินค้าและบริการผ่านเว็บไซต์ ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ของตัวเอง หรือการไปลงใน Marketplace เจ้าดัง ๆ ในตลาด 

ส่วนอีกช่องทางหนึ่งคือเปิดร้านบนโซเชียลมีเดีย เรียกว่า S-Commerce (Social Commerce) หรือ C-Commerce (Conversational Commerce) ซึ่งเป็นที่นิยมอย่างมากเพราะถูกผลักดันจากเจ้าของแพลตฟอร์ม เช่น Facebook ที่ปล่อยฟีเจอร์ใหม่ ๆ บน Messenger และ Instagram เพื่อรองรับการซื้อขายผ่านข้อความ

ช่องทางการขายออนไลน์ทั้ง 2 ประเภทมีจุดเด่นแตกต่างกัน และเหมาะสมคนละแบบ ในบทความนี้ทำให้คุณเข้าใจมากขึ้น และจะช่วยให้คุณเลือกลงทุนพัฒนาทางที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณที่สุด

เปิดร้านแบบ E-Commerce

E-Commerce Website

ที่มา: https://www.converse.com/uk

การเปิดร้านออนไลน์บน Website หมายถึงการสร้างเว็บที่สามารถซื้อสินค้าได้ เรียกว่า E-Commerce

ETDA เขียนไว้ว่า E-Commerce (Electronic Commerce) คือ อีคอมเมิร์ซ, พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ หรือ การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นการทำธุรกรรมซื้อขาย หรือแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการบนอินเทอร์เน็ต โดยใช้เว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันเป็นสื่อในการนำเสนอสินค้าและบริการต่าง ๆ รวมถึงการติดต่อกันระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย ทำให้ผู้เข้าใช้บริการจากทุกที่ทุกประเทศ หรือทุกมุมโลกสามารถเข้าถึงร้านค้าได้ง่ายและตลอด 24 ชั่วโมง 

คุณสามารถทำ E-Commerce ได้ 2 วิธี วิธีแรกคือคุณเปิดเว็บไซต์ของตนเองและสร้างระบบที่สามารถซื้อ-ขายผ่านตัวเว็บได้เลย โดยทุกวันนี้มีผู้ให้บริการระบบหรือแพลตฟอร์มสำหรับการทำ E-Commerce โดยไม่จำเป็นต้องเขียนโค้ดให้ยุ่งยาก

ตัวอย่างแพลตฟอร์ม E-Commerce

  • BigCommerce
  • Shopify
  • 3dcart
  • WooCommerce
  • Volusion
  • Prestashop
  • Weebly
  • Squarespace
  • Magento
  • Wix

อีกวิธีที่นิยมคือเปิดร้านในแพลตฟอร์ม Online Marketplace อย่างเช่น Shopee, Lazada, Amazon 

ถ้าเทียบกับสร้างเว็บ E-Commerce ของตัวเองก็เป็นทางที่ง่ายและประหยัดกว่า แต่ก็มีข้อเสียอย่างเช่น อาจมีคู่แข่งที่ขายสินค้าเหมือนเราในราคาถูกกว่า, การต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขของที่นั้น ๆ อย่างเคร่งครัด รวมถึงไม่สามารถปรับแต่งอะไรได้มากเท่าการมีเว็บไซต์ของตนเอง และบางที่อาจเก็บส่วนแบ่งกำไรจากสินค้าที่ขายด้วย 

ดังนั้น เราจึงแนะนำว่าการมีเว็บไซต์ E-Commerce ของตัวเองจะสะดวกและต่อยอดได้มากกว่า

ข้อดีของ E-Commerce

ปรับแต่งได้ 100%

การมีเว็บไซต์เปรียบเสมือนเป็นคุณเจ้าของที่นั้นเอง คุณสามารถออกแบบรายละเอียดตามที่ต้องการได้ทั้งหมด

ลูกค้าดำเนินการด้วยตัวเองได้

บนเว็บไซต์ E-Commerce ที่ออกแบบดี ลูกค้าสามารถดำเนินการสั่งซื้อสินค้าด้วยตัวเองตั้งแต่ต้นจนจบ โดยที่คุณไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลยนอกจากรับออเดอร์และส่งของ

เปิด 24 ชั่วโมง

เว็บไซต์ E-Commerce สามารถให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้เพิ่มโอกาสการขายได้สูงขึ้น

ประหยัดต้นทุนการดูแล

สิ่งที่ต้องจ่ายในการดูแลเว็บไซต์ E-Commerce หลัก ๆ มีค่าเซิร์ฟเวอร์ โดเมน ค่าบริการ E-Commerce ซึ่งโดยรวมแล้วประหยัดกว่าเปิดหน้าร้านจริง ๆ

เก็บ Data ได้ละเอียด

เว็บไซต์ E-Commerce สามารถเก็บข้อมูลพฤติกรรมการใช้งานบนเว็บไซต์ได้อย่างละเอียดเพื่อนำมาวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค รวมถึงนำมาสร้างกลุ่มเป้าหมายโฆษณา Re-Targeting บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียได้ด้วย

บทบาทของคนทำ E-Commerce

การทำเว็บไซต์ E-Commerce เป็นการดูแลระยะยาว ไม่ใช่ทำครั้งเดียวแล้วจบ มาดูกันว่าบทบาทของคนทำ E-Commerce มีอะไรบ้าง

ออกแบบเว็บไซต์ให้น่าใช้งาน

เว็บไซต์ที่ออกแบบมาดีช่วยเพิ่มโอกาสขายอย่างมาก ลักษณะเว็บไซต์ที่ดีคือต้องสวยงาม ดูน่าเชื่อถือ และใช้งานง่าย สร้างประสบการณ์ที่ดีแก่ผู้เข้าชม คุณต้องคอยทดสอบและปรับปรุงเว็บไซต์อยู่เสมอ

ส่งคนเข้าเว็บไซต์

ช่องทางโซเชียลมีเดียของแบรนด์จะมีหน้าที่หลักคือส่งผู้คนไปยังเว็บไซต์ E-Commerce อย่างสม่ำเสมอ

ดูแลระบบหลังบ้านให้เสถียร

ไม่ควรปล่อยให้เว็บไซต์เกิดปัญหาเหล่านี้

  • เว็บล่ม
  • ลิงก์ใช้งานไม่ได้
  • ข้อมูลไม่ถูกต้อง
  • สถานะสินค้าผิดพลาด
  • ระบบ Tracking ผิดพลาด

เรื่องเหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบต่อความมั่นใจในการซื้อของลูกค้า เพราะฉะนั้น คุณควรดูแลระบบหลังบ้านให้เสถียร ทำงานได้ไม่มีปัญหา และเตรียมพร้อมแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว

รักษาความปลอดภัยข้อมูลสำคัญ

ข้อมูลสำคัญของลูกค้า เช่น ชื่อ-สกุล ที่อยู่ เลขบัตรเครดิต เป็นความรับผิดชอบของเจ้าของเว็บ E-Commerce ต้องเก็บรักษาให้ปลอดภัย หากข้อมูลสำคัญของลูกค้าหลุดรั่วไปก็อาจส่งผลเสียร้ายแรงต่อแบรนด์ได้

เปิดร้านแบบ Social Commerce

Social Commerce

ที่มา : Facebook

การเปิดร้านบน Social Media เรียกว่า S-Commerce (Social Commerce) คือการมีร้านค้าออนไลน์บน Social Media ในปัจจุบันแพลตฟอร์ม Social Media ต่าง ๆ พัฒนาให้มีฟีเจอร์รองรับการขายของได้มากขึ้น และเน้นการพูดคุยระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย และสามารถกดชำระเงินสินค้าได้ทันที จนมีคำว่า C-Commerce (Conversational Commerce) เกิดขึ้นมา

ตัวอย่างแพลตฟอร์มที่คนนิยมทำ Social Commerce

Facebook

มีฟีเจอร์ Facebook Shop ที่ให้ลง Catalog สินค้าได้ สามารถเชื่อมต่อ Chatbot เพื่อช่วยดำเนินการสนทนาได้ 

Instagram

Instagram Shopping

Instagram พัฒนาฟีเจอร์ใหม่ ๆ เช่น Shopping Tag เพื่อให้คนสามารถกดดูรายละเอียดสินค้าที่อยู่ในรูปได้

LINE

LINE มีบริการ MyShop ที่ผนวก E-Commerce และการแชทผ่าน LINE มาไว้ในที่เดียวกัน ผู้ซื้อสามารถสอบถามรายละเอียดกับผู้ขายได้สะดวกยิ่งขึ้น

ข้อดีของ Social Commerce

เริ่มต้นไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย

การสร้างบัญชีธุรกิจบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียส่วนใหญ่ไม่มีค่าใช้จ่าย คุณสามารถใช้งานได้ฟรีจนกว่าคุณจะเริ่มจ่ายค่าโฆษณา

เข้าถึงผู้คนจำนวนมาก

Facebook User Hootsuite

โซเชียลมีเดียมีผู้ใช้งานจำนวนมากอยู่ในแพลตฟอร์ม ยกตัวอย่าง Facebook ในประเทศไทยมีผู้ใช้งานกว่า 47 ล้านคน ทำให้มีโอกาสเข้าถึงผู้คนจำนวนมากได้ง่ายกว่า 

เจ้าของแพลตฟอร์มสนับสนุน

ผู้ให้บริการพยายามพัฒนาฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่รองรับ Social Commerce และสนับสนุนให้ธุรกิจเปิดร้านค้าออนไลน์บนแพลตฟอร์มของตัวเองง่ายขึ้น

ประสบการณ์ไร้รอยต่อ

Social Commerce ทำให้ผู้ซื้อง่ายขึ้น เพราะไม่ต้องคลิกออกไปยังเว็บไซต์ หรือหน้าอื่น ๆ เขาสามารถเห็นสินค้า พูดคุย และชำระเงินได้ในที่เดียว

ติดตั้ง Chatbot ได้

ผู้ขายที่มีคนติดต่อมาจำนวนมาก ก็สามารถติดตั้ง Chatbot ช่วยดำเนินการสนทนาที่ไม่ซับซ้อน เพื่อเป็นการประหยัดเวลาทำงานได้ รวมถึงใช้ในการส่งข้อความบรอดแคสต์ไปยังผู้คนจำนวนมากได้อีกด้วย

บทบาทของคนทำ Social Commerce

สนทนากับลูกค้า

หน้าที่หลักของ Social Commerce คือการตอบสนองต่อลูกค้าอย่างรวดเร็ว ใช้ทักษะการเจรจาเพื่อให้ข้อมูล ปิดการขาย และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า

โน้มน้าวผู้คนให้ทักข้อความ

การทักข้อความคือช่องทางการขายหลักของคุณ ใช้โซเชียลมีเดียเพื่อให้คนสนใจและอยากจะสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมต่อ และบอกให้พวกเขารู้ว่าคุณยินดีให้บริการ

เรียนรู้ฟีเจอร์ใหม่ ๆ

คู่แข่งเยอะ ต้องได้เปรียบกว่าคนอื่น ด้วยการติดตามใช้ฟีเจอร์ใหม่ ๆ ที่ผู้ให้บริการปล่อยออกมา สร้างความแตกต่างให้กับธุรกิของคุณได้

บริหารทีมแอดมิน

หากมีผู้ทักเข้ามาเป็นจำนวนมาก คุณอาจต้องมีทีมแอดมินที่คอยตอบข้อความ เพราะลูกค้ารอนานไม่ได้

E-Commerce VS S-Commerce เลือกอะไรดี

มือใหม่เพิ่งเริ่มต้น

หากคุณเป็นผู้ประกอบการมือใหม่ถ้าต้องการเริ่มต้นง่าย ๆ เราแนะนำให้เปิดร้านบน Social Media เพื่อทำ S-Commerve ก่อน เพราะไม่มีค่าใช้จ่ายในการ Develop เหมือนเว็บไซต์ สามารถทำได้ด้วยตัวเอง และมีฟีเจอร์รับรองให้ฝึกฝนเบื้องต้น

ต้องการขยายธุรกิจ

แต่ถ้าคุณเป็นผู้ประกอบการระดับกลางขึ้นไปแล้ว มีสินค้าที่ดี ยอดขายสม่ำเสมอ การเปิดร้านบนเว็บไซต์ E-Commerce จะช่วยยกระดับธุรกิจขึ้นไปได้ เพราะสามารถทำโฆษณาระดับ Conversion ที่แม่นยำ สามารถขายได้ทั่วโลก 24 ชม. และยังไม่เสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงกฎต่าง ๆ บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ดังนั้นถ้ามีทุนเพียงพอ ก็เริ่มวางแผนสร้างเว็บไซต์ E-Commerce ได้เลย

ชอบพูดคุยกับลูกค้า

ทีนี้ ถ้านิสัยของคุณชอบพูดคุยกับผู้คน ถนัดการขายแบบตัวต่อตัว คุณอาจเหมาะกับ Social Commerce ที่เน้นการโต้ตอบกับลูกค้า เพราะทักษะนี้จะเป็นตัวตัดสินว่าร้านค้าออนไลน์ของคุณจะประสบความสำเร็จได้เร็วแค่ไหน

ชอบระบบอัตโนมัติ

แต่ถ้าคุณมีนิสัยตรงกันข้าม ชอบอยู่เบื้องหลัง และเสนอสินค้าให้ผู้คนโดยคุณเป็นคนดูแลระบบให้ราบรื่น เน้นใช้ระบบอัตโนมัติเข้ามาช่วยเหลือ และพอจะมีทักษะด้านโปรแกรมเมอร์อยู่บ้าง เราแนะนำให้คุณเปิดร้านบนเว็บไซต์ E-Commerce จะเหมาะสมกว่า

สรุป

การเปิดร้านค้าออนไลน์ทั้ง 2 แบบมีลักษณะเด่นและเหมาะสมแตกต่างกัน แต่ก็สามารถประสบความสำเร็จและสร้างผลกำไรได้ทั้งคู่ ดังนั้นลองเลือกทางที่คุณรู้สึกว่าเหมาะกับตัวเองมากที่สุด เพราะยังมีปัจจัยทางธุรกิจอื่น ๆ อีกมากที่คุณปรับปรุงให้ดีขึ้นได้เช่น สินค้า, แผนการตลาด, กลุ่มเป้าหมาย, การบริการ หมั่นตรวจสอบและ Optimise เพื่อหาหนทางที่ดีที่สุดสำหรับธุรกิจของคุณ

ใช้งาน ADMATTERS คลิก
2020-07-01T11:13:14+07:00กรกฎาคม 1, 2563|